ข้อมูลทั่วไป

ตราแผ่นดิน


ชื่อทางการ : สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines) 
เมืองหลวง : กรุงมะนิลา (Manila)
ประชากร : 88.7 ล้านคน (พ.ศ.2550)
ภูมิอากาศ : มรสุมเขตร้อน ได้รับความชุ่มชื้นจากลมมรสุมทั้ง 2 ฤดู ได้รับฝนจากลมพายุไต้ฝุ่น และดีเปรสชั่น บริเวณที่ฝนตกมากที่สุด คือ เมืองบาเกียว เป็นเมืองที่ฝนตกมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภาษา : มีการใช้ภาษามากกว่า 170 ภาษา โดยส่วนมากเกือบทั้งหมดนั้นเป็นตระกูลภาษาย่อยมาลาโย-โปลินีเซียนตะวันตก แต่ในปี พ.ศ. 2530 รัฐธรรมนูญได้ระบุให้ภาษาฟิลิปิโน (Filipino) และภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ที่ใช้กันมากในประเทศฟิลิปปินส์มีทั้งหมด 8 ภาษา ได้แก่ ภาษาสเปน ภาษาจีนฮกเกี้ยน ภาษาจีนแต้จิ๋ว ภาษาอินโดนีเซีย ภาษาซินด์ ภาษาปัญจาบ ภาษาเกาหลี และภาษาอาหรับ โดยฟิลิปปินส์นั้น มีภาษาประจำชาติคือ ภาษาตากาล็อก
ศาสนา : ร้อยละ 92 ของชาวฟิลิปปินส์ทั้งหมดนับถือศาสนาคริสต์ โดยร้อยละ 83 นับถือนิกายโรมันคาทอลิก และร้อยละ 9 เป็นนิกายโปรเตสแตนต์ มุสลิมร้อยละ 5 พุทธและอื่น ๆ ร้อยละ
สกุลเงิน:เปโซฟิลิปปินส์ (Philippine Peso - PHP)
อัตราการแลกเปลี่ยน1.4 เปโซ = 1 บาท
                                  43 เปโซ = 1 ดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ



ธงชาติฟิลิปปินส์

ธงชาติฟิลิปปินส์


 ธงชาติฟิลิปปินส์ด้านต้นธงเป็นรูปสามเหลี่ยมสีขาว เป็นเครื่องหมายแทนความเสมอภาค และภราดรภาพ ซึ่งภายในสามเหลี่ยมสีขาว ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์รัศมี 8 แฉก ล้อมด้วยดาว 5 แฉก จำนวน 3 ดวง และตั้งอยู่ตามมุมของรูปสามเหลี่ยม ซึ่งสัญลักษณ์ทั้งหมด ล้วนเป็นสีทอง ส่วนด้านที่เหลือของธง ได้แบ่งครึ่ง
ตามความยาว โดยแถบบนมีสีน้ำเงิน และแถบล่างมีสีแดง

ทั้งนี้ หากแถบทั้งสองสีดังกล่าว ได้มีการสลับตำแหน่งกัน คือ แถบสีแดงอยู่ด้านบน แถบสีน้ำเงินอยู่ด้านล่าง แสดงว่า ขณะนั้นประเทศฟิลิปปินส์กำลังอยู่ในภาวะสงคราม ส่วนสี และสัญลักษณ์ ต่างๆ มีความหมาย ดังนี้

สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพ สัจจะ และความยุติธรรม

สีแดง หมายถึง ความรักชาติ และความมีคุณค่า

รูปดวงอาทิตย์มีรัศมี 8 แฉก หมายถึง 8 จังหวัดแรกของประเทศ อันได้แก่ จังหวัดบาตังกาส, จังหวัดบูลาคัน, จังหวัดคาวิเต, จังหวัดลากูนา, จังหวัดมะนิลา, จังหวัดนูเอวา เอคิยา, จังหวัดปัมปังกา และจังหวัดตาร์ลัค ซึ่งพยายามเรียกร้องเอกราชจากสเปนและฝ่ายสเปนได้บังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่เหล่านั้นเมื่อเริ่มเหตุการณ์การปฏิวัติฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ.1896 

ดาวสามดวง หมายถึง การแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของประเทศออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ เกาะลูซอน เกาะมินดาเนา และหมู่เกาะวิสายัน

อย่างไรก็ตาม ในคำประกาศเอกราชของฟิลิปปินส์ ค.ศ. 1898 ได้นิยามความหมายของธงชาติต่างไปจากปัจจุบัน โดยระบุว่าสีขาวเป็นสัญลักษณ์แทนสมาคมคาติปูนัน (Katipunan) ซึ่งเป็นสมาคมลับที่ต่อต้านการปกครองของจักรวรรดินิยมสเปน สำหรับสีแดงและสีน้ำเงินกำหนดขึ้นจากสีของธงชาติสหรัฐอเมริกาเพื่อแสดงออกถึงความซาบซึ้งที่สหรัฐอเมริกาให้ความคุ้มครองชาวฟิลิปปินส์ในการต่อต้านสเปนในช่วงการปฏิวัติฟิลิปปินส์ ส่วนดาวสามดวงในธง ในคำประกาศเอกราชได้กล่าวว่าดาวดวงหนึ่งในสามดวงนั้นหมายถึงเกาะปานาย ไม่ใช่หมู่เกาะวิสายัน



เพลงชาติฟิลิปปินส์

เพลงชาติฟิลิปปินส์




ฟิลิปปินส์











แผนที่ประเทศ

แผนที่ประเทศ


ที่ตั้ง : เป็นประเทศหมู่เกาะที่ประกอบด้วยเกาะจำนวนทั้งสิ้น 7,107 เกาะ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากเอเชียแผ่นดินใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 100 กม. และมีลักษณะพิเศษ คือ เป็นประเทศเพียงหนึ่งเดียวที่มีพรมแดนทางทะเลที่ติดต่อระหว่างกันยาวมากที่ สุดในโลก
•           ทิศตะวันตกและทิศเหนือติดกับทะเลจีนใต้
•           ทิศตะวันออกและทิศใต้ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก
•           อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 1,800 กิโลเมตร

พื้นที่ : 298,170 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 3 ใน 5 ของประเทศไทย)


การปกครอง

การปกครอง



ประเทศฟิลิปปินส์มีการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย  โดยมีประธานาธิบดีเป็นผู้บริหารสูงสุด  และมีการเลือกตั้งผู้ปกครองในทุกระดับชั้น  ตั้งแต่ประธานาธิบดี  รองประธานาธิบดี  วุฒิสมาชิก  จนถึงผู้ปกครองท้องถิ่นระดับบารังไกเป็นหน่วยการปกครองที่เล็กที่สุด  รัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดมีอิสระในการปกครองตนเองภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย

ประธานาธิบดี

ประมุข : ประธานาธิบดี เบนิกโน อากีโน ที่ 3

           ประเทศฟิลิปปินส์เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศสหรัฐอเมริกา จึงรับเอาการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามแบบประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้บริหารประเทศ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข และเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารประเทศ ซึ่งประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายเบนิกโน อากีโนที่ 3 หรือ เบนิกโน ซีเมออน โกฮวงโก อากีโนที่ 3 ปัจจุบันอายุ 52 ปี ดำรงตำแหน่งตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 15 ของประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศ ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553


ดอกไม้ประจำชาติ

พุดแก้ว (Sampaguita Jasmine)



          ดอกไม้ประจำชาติฟิลิปปินส์ คือ ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine) ดอกมีสีขาวกลีบดอกเป็นรูปดาว มีกลิ่นหอม บานส่งกลิ่นในตอนกลางคืน ถือเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน รวมถึงความเข้มแข็งอีกด้วย เคยถูกนำมาใช้เฉลิมฉลองในตำนานเรื่องเล่ารวมทั้งบทเพลงของฟิลิปปินส์ด้วย เช่นกัน


สัตว์ประจำชาติ

สัตว์ประจำชาติ          

คาราบาว ภาษาตากาล็อก (ภาษาฟิลิปปินส์) แปลว่า กระบือ (สัตว์ประจำชาติ)



ชุดประจำชาติฟิลิปปินส์

ชุดประจำชาติฟิลิปปินส์

       ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขายาวและสวมเสื้อที่เรียกว่า บารอง ตากาล็อก (barong Tagalog) ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าใยสัปปะรดมีบ่า คอตั้ง แขนยาว ที่ปลายแขนเสื้อที่ข้อมือจะปักลวดลาย ส่วนผู้หญิงนุ่งกระโปรงยาว ใส่เสื้อสีครีมแขนสั้น จับจีบยกตั้งขึ้นเหนือไหล่  คล้ายปีกผีเสื้อ เรียกว่า บาลินตาวัก (balintawak)

บารอง ตากาล็อก 




 บาลินตาวัก







ศิลปวัฒนธรรมและประเพณี

ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีของประเทศฟิลิปปินส์
                    วัฒนธรรมของฟิลิปปินส์เป็นวัฒนธรรมผสมผสานกันระหว่างตะวันตกและตะวันออก ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากสเปน จีน และอเมริกัน ฟิลิปปินส์มีเทศกาลที่สำคัญ ได้แก่         
     *เทศกาลอาติ อาติหาน (Ati - Atihan)


                    จัดขึ้นเพื่อรำลึกและแสดงความเคารพต่อ เอตาส (Aetas)” ชนเผ่าแรกที่มาตั้งรกรากอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในฟิลิปปินส์ และรำลึกถึงพระเยซูคริสต์ในวัยเด็ก โดยจะแต่งตัวเลียนแบบชนเผ่าเอตาส แล้วออกมารำรื่นเริงบนท้องถนนในเมืองคาลิบู (Kalibu)

   *เทศกาลซินูล็อก (Sinulog)



                    งานนี้จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนมกราคมทุกปี เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงนักบุญซานโต นินอย (Santo Nino) โดยจะจัดแสดงดนตรีและมีขบวนพาเหรดแฟนซีทั่วเมืองเซบู (Cebu)

     *เทศกาลดินาญัง (Dinayang)



                    งานนี้จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงนักบุญซานโต นินอย (Santo Nino) เช่นเดียวกับเทศกาลซินูล็อก แต่จะจัดขึ้นในสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนมกราคม ที่เมืองอิโลอิโย (Iloilo)


อาหารประเทศฟิลิปปินส์

อาหารขึ้นชื่อของประเทศ ฟิลิปปินส์

1. ปลาบางงุส (Bangus) หรืออีกชื่อว่า Milk Fish และชื่อไทยคือ ปลานวลจันทร์ทะเล


Bangus

เป็นปลาที่มีก้างค่อนข้างเยอะ ถือเป็นปลาที่คนฟิลิปปินส์นิยมเลี้ยงเป็นอย่างมาก ในทุกๆปี จะมีเทศกาลปลาบางงุส โดยจะมีการย่างปลาบางงุสต่อแถวเรียงกันในทางยาว ทั้งยังเคยได้รับการบันทึกลงกินเนสบุ๊คด้วยว่า เป็นการย่างปลาบางงุสที่แถวยาวที่สุดในโลก
2. อะโดโบ (Adobo)


Chicken Adobo

อาหารยอดนิยมของชาวฟิลิปปินส์ โดยจะหมักเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น หมู ไก่ เนื้อ รวมไปถึงอาหารทะเล ปลาทะเล กับน้ำส้มสายชู และเครื่องเทศต่างๆ เช่น กระเทียม ใบกระวาน หัวหอม พริกไทยดำ และนำไปทอดหรืออบในกระทะ จนน้ำหมักซึมเข้าเนื้อ เป็นสีน้ำตาลคล้ายคาราเมล
โดยอะโดโบนั้น มีอีกชื่อนึงก็คือ สตูว์ฟิลิปปินส์ เหมาะแก่การเดินทาง เก็บได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น ทั้งนี้ก็เพราะน้ำส้มสายชูที่ใช้หมักนั้น มีส่วนในการช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
3. ฮาโลฮาโล (Halo Halo)


Halo Halo

ของหวานยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ ประกอบไปด้วย น้ำแข็งใสละเอียด ตามด้วยผลไม้เชื่อม ถั่วแดงเชื่อม ถั่วเขียว ลูกตาล ขนุน มะพร้าว ไอศครีม ราดหน้าด้วยนมสด หรือนมข้นหวาน หรือน้ำเชื่อม ซึ่งฮาโลฮาโลนี้ เป็นของหวานที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง หากินได้ง่ายมากในกรุงมะนิลา



สถานที่ท่องเที่ยว

สถานที่ท่องเที่ยว


1. อุทยานธรรมชาติปะการังตุบบาตาฮา (Tubbataha Reef)


           ใครที่ชื่นชอบการดำน้ำชมปะการัง อย่าลืมแวะเวียนมาที่ทะเลซูลู (Sulu Sea) เพราะมันเป็นที่ตั้งของอุทยานธรรมชาติปะการังตุบบาตาฮา ปะการังวงแหวนอันสวยงามและมีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังคงความสมบูรณ์ รวมทั้งมีปลาทะเลมากมายหลายสายพันธุ์ โดยอุทยานแห่งชาติปะการังตุบบาตาฮาจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาดำน้ำชม ปะการังในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน นั่นก็เพราะว่าช่วงเวลาดังกล่าวทะเลมีคลื่นลมสงบนั่นเอง
2. โบสถ์ซานอากุสติน (San Agustin Church)

           โบสถ์ซานอากุสติน ตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา และยังเป็นโบสถ์อันเก่าแก่ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1589 ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดแห่งหนึ่ง เนื่องจากเคยเกิดแผ่นดินไหวถึงเจ็ดครั้งและไฟไหม้อีกสองครั้ง ทว่าโบสถ์ซานอากุสตินยังคงรอดพ้นมาได้และคงสภาพที่สมบูรณ์เช่นเดิม ด้านสถาปัตยกรรมนั้น ภายนอกของโบสถ์ทำจากหินส่วนภายในได้รับอิทธิพลการตกแต่งแบบเม็กซิกัน ดังจะเห็นได้จากการออกแบบไม้กางเกงและจิตรกรรมฝาผนังโดย Giovanni Dibella และ Cesare Alberoni สองศิลปินชาวอิตาเลียนที่ได้บรรจงวาดไว้เมื่อปี ค.ศ. 1800
3. ภูเขาไฟมายอน (Mayon Volcano)

           ภูเขาไฟมายอน ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่สวยงามซึ่งแฝงไปด้วยอันตราย เพราะมันเป็นภูเขาไฟที่มีการปะทุบ่อยที่สุดในฟิลิปปินส์ โดยมีการปะทุถึง 49 ครั้งในรอบ 400 ปี แต่ครั้งร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1814 เป็นการปะทุแบบทำลายล้างและมีลาวาไหลไปทั่วซึ่งจะเห็นได้จากลาวาที่แข็งตัว จนกลายเป็นหินอยู่รอบพื้นที่ ทว่าความสวยงามของรูปทรงและจุดชมวิวบนยอดเขาทำให้นักท่องเที่ยวมักจะเสี่ยง ขึ้นมาตั้งแคมป์, ปีนเขา และเดินป่าเพื่อชมความงดงามของธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีซากปรักหักพังของโบสถ์อันเก่าแก่ที่ถูกทำลายโดยลาวา และยังคงเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมมาแชะภาพคู่
4. เกาะมาลาปาสกัว (Malapascua Island)

           เกาะมาลาปาสกัว เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีบรรยากาศเงียบสงบ ส่วนใหญ่เป็นชาวประมงที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจด้วยการดำน้ำตื้นหรือดำน้ำลึกเพื่อชม ปะการัง นอกจากนี้มันยังเป็นที่ซึ่งคุณจะพบกับสัตว์ประจำถิ่นอย่าง ฉลามหางยาว, ปลากระเบนแมนตา และปลาฉลามหัวค้อนได้แบบง่าย ๆ หรือใครอยากจะชิลไปกับการเดินรับลมหรือนอนอาบแดดบนชาดหายสีขาวก็เป็นไอเดีย ที่ดี ที่สำคัญยังมีสวนมะพร้าวมากมาย คุณจึงสดชื่นไปกับการดื่มน้ำมะพร้าวรสชาติหอมหวาน แค่คิดก็ฟินสุด ๆ แล้ว
5. เมืองเปอร์โต กาเลรา (Puerto Galera)

           เมืองเปอร์โต กาเลรา เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทางตอนใต้ของกรุงมะนิลา และมันยังมีชายหาดที่ที่สวยงามขึ้นชื่อว่าต้องมาเยือนสักครั้ง เพราะนอกจากหาดทรายขาวที่ทอดยาวขนานกับชายฝั่งแล้ว ยังมีสัตว์น้ำทะเลหลากหลายชนิดที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับความสวยงามของ มัน และที่พลาดไม่ได้เลย คือ หาด Muelle ที่โด่งดังเรื่องการดำน้ำชมปะการังและการล่องเรือชมความสวยงามรอบเกาะ หรือใครที่กำลังหาสถานที่สำหรับดินเนอร์กับคนรัก ที่นี่ก็มีร้านอาหารมากมายไว้รองรับนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีบาร์และร้านรวงหลายแห่งด้วยเช่นกัน คุณจึงไม่เบื่อเลยกับการใช้วันหยุดยาวที่เปอร์โต กาเลรา
6. อุทยานแห่งชาติแม่น้ำใต้ดินปวยร์โตปรินเซซา (Puerto Princesa Underground River)

           อุทยานแห่งชาติแม่น้ำใต้ดินปวยร์โตปรินเซซา ตั้งอยู่ทางชายฝั่งด้านเหนือของเกาะปาลาวัน และยังถือเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว เพราะนอกจากบรรยากาศดี ๆ รอบด้านแล้ว คุณยังจะได้เห็นอันซีนฟิลิปปินส์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำใต้ดินที่มีความยาวที่สุดในโลก, สัตว์ป่านานาชนิด รวมถึงค้างคาวด้วย นับเป็นความหลากหลายทางธรรมชาติที่หาดูได้ยาก อีกทั้งไม่ควรพลาดกับการนั่งเรือเข้าไปชมความงดงามของหินงอกหินย้อยรูปร่าง ต่าง ๆ ที่รับรองว่าทำให้จินตนาการของคุณไม่หยุดนิ่งแน่นอน
7. เมืองดอนซอล (Donsol)

           เมืองดอนซอล มีชายหาดที่สวยงามและขึ้นชื่อเรื่องจำนวนฝูงฉลามวาฬที่มองเห็นได้อย่าง ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมิถุนายน แต่ช่วงพีคสุดนั้นอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ยังมีป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาล่องเรือมาสัมผัสกับความสดชื่นบริเวณแม่น้ำดอนซอล และในตอนค่ำคืนยังมีหิ่งห้อยนับล้านที่เปล่งแสงออกมาจากเงาไม้ ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามมากทีเดียว ที่สำคัญยังหาดูได้ยากในที่อื่น ๆ
8. ภูเขาช็อกโกแลต (Chocolate Hills)

           ภูเขาช็อกโกแลต ถือเป็นไฮไลท์เด็ดของฟิลิปปินส์ ด้วยภูเขาที่มีลักษณะรูปร่างที่ใกล้เคียงกันเรียงรายอยู่ทั่วเกาะโบฮอลกว่า 1,268 ลูก ทำให้มันเป็นภาพที่งดงามและตระการตาไม่น้อย และความงดงามของแต่ละฤดูกาลยังไม่ซ้ำกัน โดยเฉพาะช่วงที่ภูเขาเปลี่ยนจากสีเขียวสดเป็นสีส้มและสีเหลือง จึงถือเป็นอันซีนฟิลิปปินส์ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานการเกิดของภูเขาว่า เป็นผลมาจากการต่อสู้ของยักษ์สองตน ซึ่งเมื่อตนหนึ่งแพ้และล้มตายไป ยักษ์ซึ่งเป็นคู่รักจึงร้องไห้เสียใจจนน้ำตาหยดกลายเป็นภูเขา แต่จากการสำรวจของผู้เชี่ยวชาญบอกว่า มันเกิดความผิดปกติทางธรณีวิทยานั่นเอง
9. เกาะโบราไกย (Boracay Island)

           เกาะโบราไกย เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยสีสันของฟิลิปปินส์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างเนืองแน่นในทุกปี เพราะไม่ใช่แค่วิวทิวทัศน์อันสวยงาม แต่การเดินทางก็ค่อนข้างสะดวก เนื่องจากมีบริการรับ-ส่งจากสนามบินมายังท่าเรือ จากนั้นจึงนั่งเรือต่อมายังเกาะ อีกทั้งยังมีที่พักบนเกาะมากมายให้คุณได้ค้างคืนชิล ๆ พร้อมทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ทั้งดำนำ, ล่องเรือ และในยามราตรียังมีคาเฟ่เล็ก ๆ ให้คุณสนุกกับแสงสียามค่ำคืนด้วย
10. นาขั้นบันไดบานาเว (Banaue Rice Terraces)

           อาจพูดได้ไม่เต็มปากว่ามาเยือนฟิลิปปินส์หากไม่ได้แวะมาที่นาขั้นบันไดบานา เว ซึ่งเกิดจากการแกะสลักภูเขาของชนเผ่า Ifugao เมื่อสองพันปีก่อนเพื่อใช้ในการทำฟาร์ม ซึ่งเป็นที่น่าทึ่งว่าในสองพันกว่าปีก่อนนั้นยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ ที่ทันสมัย ทว่าชนเผ่าเหล่านี้กลับแกะสลักภูเขาทั้งใบได้อย่างสวยงาม และปัจจุบันมันได้กลายเป็นที่ปลูกข้าวของชาวนาที่มีลักษณะเป็นขั้นบันได ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามและยังเหมาะแก่การมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติสีเขียว อีกด้วย